ตายแล้วไปไหน???… แว๊บนั้น ได้ยินเสียง ๆ นึงแว่วเข้ามาในหู พลันความคิดแบบ ทีเล่นทีจริง ว่าถ้า ตื่น ขึ้นมาพรุ่งนี้ แล้วได้กลับไปอยู่.. ในวันที่ได้ยิน เพลง นั้นครั้งแรก และในยุคนั้นกำลังฮิต ก็คงดีไม่น้อย
พอคิดไปคิดมา ก็เห็นว่า มีหลายอย่าง ได้เคย เปรียบเปรย เรื่องราวแบบนี้ เอาไว้ ในหลายรูปแบบ มีทั้ง หนัง กาตูน ละคร บทเพลง นิยาย นิทาน เรื่องเล่า ฯลฯ ต่าง ๆ มากมาย ที่เป็นรูปแบบของ การตื่นนอน และโผล่ขึ้นมาอีกที ก็กลายเป็นโลกใหม่ หรือโลกใบเดิม แต่ต่างกันที่ ยุค สมัย สิ่งแวดล้อม และ ผู้คน
พลันให้คิดถึง นิยาม ของ คำว่า “ตายแล้วไปไหน” เมื่อคิดได้แบบนี้ ก็เลยถึง บางอ้อ
ตายแล้วไปไหน โลกหลังความตาย มีจริงหรือไม่
เราสรุปเอาทันที ที่แว๊บแรกของความรู้สึก คุ้นหู คุ้นบรรยากาศ คุ้นเหตุการณ์ ประหนึ่ง เคยประสบพบเจอมาแล้วก่อนหน้านี้ ใช่ เดจาวู นั่นแหละ ก็เลยเข้าใจในทันทีว่า หากเราตาย มันไม่มีหรอก โลกหลังความตาย ต้องไปตรงนั้น ตรงนี้ ต้องรอคอยให้ หมดเวร หมดกรรม เหมือนที่หลายคนบอก ตายก่อนอายุขัย หรือต้องไปยังดินแดนต่าง ๆ เพื่อรับคำตัดสิน ไปนรก สวรรค์ แดนสุขาวดี บ้าบอ
ไม่มีหรอก ต่อให้มี ก็ไร้ประโยชน์
เรื่องจริงคือ เมื่อเราตาย เราจะตื่นขึ้น อีกครั้ง ในที่ใหม่ เราอาจเป็นตัวอะไรซักอย่าง เป็นสัตว์ เป็นตัวอะไรก็ได้ หรือเป็น คน เหมือนเดิม อาจได้อยู่ใน ยุคเก่าโบราณ หรือใน ยุคใหม่ศิวิลัย หรือ ยุคปัจจุบัน ที่เหตุการณ์โลดแล่น ไปอย่างต่อเนื่อง
แต่ทุก ๆ วัน ที่เราตื่นขึ้นมา ยังรับรู้ความรู้สึกเดิม สถานที่คุ้นชินตา ผู้คนที่คุ้นเคย ร่างกายเราเหมือนเดิม นั่นแสดงว่า เรายังไม่ตาย แต่เมื่อไหร่ที่ ตื่นขึ้นมา แล้วไปเจอ โลกใบใหม่ นั่นถือว่า เราได้ผ่าน ความตาย มาแล้ว นั่นเอง แต่จะผ่านมา กี่สิบ กี่ร้อย กี่พัน ครั้ง ก็ช่างมันสิ สำคัญนักหรือ กับการไขข้อสงสัย ถ้ารู้แล้ว ชีวิต จะดีขึ้นแค่ไหนกันเชียว
ส่วนเวลาที่หายไป ระหว่าง ตายไปแล้ว และ รอเกิดใหม่ ก็ช่างแม่มันสิ เพราะเท่าที่จำได้ วันแรกที่เราตื่น ลืมตาดูโลก ใบนี้ เราจำได้ว่า เราเห็น หน้าแม่ หน้าพ่อ หน้าคนในครอบครัว
เราจำอะไรเกี่ยวกับ โลกหลังความตาย ไม่ได้เลย มีใครจำได้ไหม ก็ไม่มี แสดงว่า มันไม่ได้สำคัญกับชีวิต
และแม้ว่า มันจะมีอยู่จริง หรือไม่มีอยู่จริง ก็ช่างแม่มันสิ มันจำเป็นขนาดไหน ที่เราจะต้อง พิสูจน์ ทดสอบ ทดลอง ค้นหาทฤษฎีต่าง ๆ เพื่อที่จะให้ได้ ผลลัพธ์ ว่า โลกหลังความตายมีอยู่จริง มันมีประโยชน์แค่ไหน เปล่าเลย ไร้ประโยชน์ เหมือนกับการพยายาม เอื้อมมือไปคว้า ดวงดาว อันห่างไกล ทั้ง ๆ ที่ก็รู้ว่า ทำไม่ได้ สู้ปลอบใจตัวเอง แล้วกำเศษดินใต้เท้าขึ้นมา แล้วบอกดัง ๆ ว่านี่ไง ดวงดาวดวงนั้น ก็เหมือนกับเจ้านี่ แล้วเดินหน้าต่อไป
เราแค่คิดไว้แล้ว ว่า การตาย ก็คือ การหลับ การเกิด ก็คือ การตื่น
คำถามที่ว่า ถ้าตายไปแล้ว เราจะไปไหนต่อ คำตอบก็คือ ไม่ได้ไปไหน หลับ แล้วตื่น เท่านั้น ทำให้เรา ไม่รู้สึกกลัว ความตาย อีกแล้ว แม้จะยัง ไม่หายกลัวไปซะทีเดียวทั้งหมด แต่เมื่อคิดแบบนี้ เราก็พอจะ รับไหว หากว่ามันจะเกิดกับเรา
ช่างหัวโลกหลังความตายมันสิ
คนเราจะรับรู้ว่าตัวเองไปไหนมาไหน ในตอนหลับได้เหรอ ยกเว้นฝัน และคิดซะว่า ถ้าเราฝัน พอตื่น เราก็จำมันไม่ได้ ถึงจะจำมันได้ แต่มันมีประโยชน์อะไร มากไปกว่า เลขเด็ด และแน่นอน ถ้าสิ่ง หรือความฝันนั้น คือโลกหลังความตาย หากยังมีชีวิต มันคือโลกจิตวิญญาณ แต่หากเราตายไปจริง ๆ อาจเป็นโลกแห่งความตาย แต่ก็ช่างแม่มันสิ
เราไม่สามารถเอาอะไรในฝันมาใช้ได้ และแน่นอน เราอาจสนุกกับเหตุการณ์ในฝัน แต่มันไม่มีผลกับชีวิตจริง ๆ เราได้เลย
ทำไมเราถึงกลัว ความตาย
เพราะเราคิดว่า เรายังไม่พร้อม เราต้องมีความรับผิดชอบหลายอย่าง ที่ยังทำได้ไม่ดีนัก ไม่ว่าจะเป็น คู่ชีวิต และเด็ก ๆ ที่ยังไม่โตพอจะรับผิดชอบอะไร เราเคยประสบเหตุการณ์ ที่ต้องเสีย พ่อแม่ ไปตั้งแต่ตอนเด็ก เราเลยคิดว่า ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้ กับเด็ก ๆ อาจจะแย่เหมือนกับเราก็ได้ เราเลยกลัว
แต่ต่อไปนี้ เราก็จะ ไม่ค่อยกลัว ความตาย เท่าไหร่แล้ว
คิดเสียว่า เมื่อวันนั้นมาถึง เราอาจได้ตื่น มารับรู้ เหตุการณ์ ใหม่ ๆ ในโลกใหม่ ๆ อีกครั้ง
เพราะอย่างน้อย ๆ เราก็ ได้เตรียมตัว ไว้บ้างแล้ว
ก๊อบไปวาง : www.vwander.com/lifeordie.html
เขียน : www.swenth.com