สรุปข่าวสำคัญเกี่ยวกับดราม่ากวาง AB Normal และกรมประมงโชว์ไอเดียแปรรูป สาหร่ายผักกาดทะเล พร้อมเตือนฝนชุกกลางฤดู จากสำนักข่าวประจำวันที่ 2025-07-22
ข่าวจาก Thairath เรื่อง สรุปดราม่า กวาง AB Normal โพสต์อย่าหาทำตามนักอนุรักษ์ ชาวเน็ตสงสัยใช่ ทราย สก๊อต หรือไม่ ที่มีการนำเสนอไปเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2568 เวลา 12:05 น. นั้น รายละเอียดมีดังนี้คือ
หลังจากที่ กวาง AB Normal หรือ กวาง ศิริศิลป์ โชติวิจิตร ได้ออกมาโพสต์ถึงนักอนุรักษ์คนหนึ่ง ที่ได้กู้ลอบดักปลาขึ้นมาจากแนวปะการัง พร้อมกับเตือนนักดำน้ำว่า อย่าหาทำ โดย กวาง ได้เขียนข้อความว่า- “ได้ดูคลิปนักอนุรักษ์ท่านหนึ่ง กู้ลอบดักปลาขึ้นมาจากแนวปะการัง … ขอเตือนน้องๆนักเรียนเพื่อนๆscuba ว่าอย่าหาทำนะครับ1. ลอบประมง เป็นของชาวบ้าน เป็นทรัพย์ที่เขาใช้ทำมาหากิน อย่าไปทำลาย อย่าไปย้าย อย่าไปตัดของเขา2. การ over exercise ใช้แรงเยอะเกินไปใต้น้ำ ทำให้เกิดโรค hypercapnia หรือ carbon dioxide ในร่างกายสูงเกินไป ซึ่งพาไปสู่โรค และอาการอื่นๆ ที่เป็นอันตรายต่อการดำน้ำ3. การนำของหนักขึ้นสู่ผิวน้ำ จำเป็นต้องมีอุปกรณ์เช่น lift bag (จะได้เรียนในขั้น rescue) หรือ อื่นๆ มาช่วยยกขึ้นอย่างถูกต้อง ไม่งั้นอาจทำให้เกิดการขึ้นสู่ผิวน้ำเร็วเกินไป, ของหล่นมาทำลายพื้นปะการัง, ตาข่ายลอบพันกับอุปกรณ์ และอื่นๆPs. การอนุรักษ์เป็นสิ่งที่ดี แต่ต้องทำอย่างถูกต้อง และปลอดภัยนะครับ ด้วยความเป็นห่วง…ครูกวาง”
– ขณะที่ชาวเน็ตเองก็ได้เข้ามาคอมเมนต์พูดถึงเรื่องนี้กันจำนวนมาก และหลายคนโยงว่า ที่กวาง AB Normal ออกมาเตือนนักเรียนดำน้ำนั้น หมายถึงคลิปที่ ทราย สก๊อต เพิ่งลงไปเมื่อไม่นานนี้หรือไม่- ซึ่งดังกล่าวเป็นคลิปที่ ทราย ลงไปกอบกู้ไซดักปลาที่ติดแนวปะการัง และหลายคนบอกว่า ถ้ากวางได้ดูคลิปเต็มแล้ว ก็จะเห็นว่าทรายได้เตือนว่าอย่าทำตาม เพราะเขามีทีมที่มาด้วยกันด้วย และประเมินดูสถานการณ์แล้วทำได้ รวมถึงไซดักปลาที่ทรายลงไปกู้นั้นชำรุดทรุดโทรมมากและไปติดอยู่ที่ปะการัง
– งานนี้ทำให้โซเชียลเสียงแตกออกเป็นหลายเสียง มีทั้งฝั่งที่เข้าใจกวาง AB Normal เพราะออกมาเตือนน้องๆ เพื่อนๆ นักดำน้ำว่าอย่าทำตาม อาจจะเกิดอันตรายได้- ส่วนอีกฝั่งก็มองว่า ทราย สก๊อต ฝึกฝนการดำน้ำมาอย่างดี ได้ทำการประเมินสถานการณ์แล้ว มีทีมและเพื่อนที่คอยดูแล รวมถึงทรายเองก็ได้พูดเตือนตลอดคลิปรวมถึงในแคปชันว่า อย่าทำตามตนเอง
– และนอกจากนี้ ก็ได้มีคนเข้ามาคอมเมนต์ถาม กวาง แบบตรงๆ ว่า ที่กวางโพสต์นั้นหมายถึง ทราย สก๊อต หรือไม่”ขอบคุณคุณกวางนะคะ ไม่แน่ใจว่าบุคคลที่กำลังพูดถึงอยู่นั้นคือคุณทรายสก๊อตหรือไม่ แต่ถ้าใช่ ทางเราขอขอบคุณนะคะที่ออกมาให้คำแนะนำ และแสดงความห่วงใยคุณทรายสก๊อต คุณทรายได้มีการพูดเตือนในคลิปว่าไม่ให้ลอกเลียนแบบ เขาได้ประเมินศักยภาพร่างกายตนเองมาแล้ว และในขณะที่ว่ายน้ำอยู่นั้นเมื่อเจอไซดักปลาก็อดที่จะกู้ขึ้นมาไม่ได้ ซึ่งสิ่งที่คุณทรายกระทำไปนั้น มีเจตนาที่ดีที่ต้องการจะอนุรักษ์ทะเลค่ะ ขอบคุณที่ติดตามและให้การสนับสนุนคุณทรายนะคะ จนถึงตอนนี้คุณทรายยังคงทำงานอนุรักษ์เสมอ และไม่เคยลืมว่าตนเองเป็นใคร ทะเลคือที่ที่คุณทรายหวงแหนและต้องการปกป้องเสมอค่ะ”- ด้าน กวาง ก็ได้ตอบกลับว่า “ผมเตือน นักดำน้ำมือใหม่ นักเรียน และคนที่ยังเข้าใจในการดำน้ำไม่ครบทุกองค์ประกอบครับ นักดำน้ำส่วนใหญ่มีใจอยากอนุรักษ์อยู่แล้ว ถ้าเขาเห็นแบบอย่างที่ผิดๆแล้วไปทำตาม อาจทำให้เกิดอันตรายกับตัวเอง และความเสียหายในส่วนรวมได้ครับ … โพสต์การแสดงความคิดเห็นนี้ ไม่ได้ไปว่าทางคุณทรายแม้แต่นิดครับ เข้าใจเจตนาดีจริงๆครับ”คลิกเพื่ออ่าน ข่าวบันเทิง เพิ่มเติม
ข่าวจาก สำนักข่าวไทย เรื่อง สทนช.เตือนฝนชุกกลางฤดูเป็นต้นไป เสี่ยงน้ำหลาก 54 จังหวัด ที่มีการนำเสนอไปเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2568 เวลา 02:21 น. นั้น รายละเอียดมีดังนี้คือ
กรุงเทพฯ 30 มิ.ย. – สทนช.เผยแนวโน้มฝนตกหนัก ส.ค.–ต.ค. เสี่ยงพายุเข้าไทย เตรียมแผนรับมือเชิงรุก ทั้งแจ้งเตือน–พร่องน้ำ–ตั้งศูนย์ส่วนหน้าในพื้นที่เสี่ยงทั่วประเทศ
ดร. สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ระบุว่า ตั้งแต่เดือนสิงหาคมเป็นต้นไป ประเทศไทยจะเข้าสู่ช่วงฝนตกชุกที่สุดของปี เสี่ยงเผชิญพายุหมุนเขตร้อน 1–2 ลูก โดยเฉพาะภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีโอกาสเกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก และน้ำล้นตลิ่งในหลายพื้นที่ พร้อมเผยแผนรับมือทั้งระบบ ตั้งแต่แจ้งเตือนล่วงหน้า เสริมคันกั้นน้ำ เตรียมศูนย์บริหารน้ำ และจัดตั้งศูนย์พักพิงชั่วคราวทั่วประเทศ
กรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ว่า ฝนจะตกชุกหลายพื้นที่ โดยเฉพาะภาคตะวันออกและภาคใต้ฝั่งตะวันตก ซึ่งเป็นช่วงที่มรสุมตะวันตกเฉียงใต้มีกำลังแรงขึ้น และอาจได้รับอิทธิพลจากพายุหมุนเขตร้อน โดยเฉลี่ย 1–2 ลูกในแต่ละปี
สทนช. ได้วิเคราะห์พื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมและน้ำท่วมฉับพลันไว้ล่วงหน้า พบว่า
กรกฎาคม 2568: เสี่ยงใน 18 จังหวัด 55 อำเภอ 203 ตำบล
สิงหาคม: เสี่ยงเพิ่มเป็น 29 จังหวัด 125 อำเภอ 348 ตำบล
กันยายน: เสี่ยงสูงขึ้นอย่างมาก เป็น 50 จังหวัด 281 อำเภอ 1,038 ตำบล
ตุลาคม: เสี่ยงสูงสุด 54 จังหวัด 342 อำเภอ 1,604 ตำบล
พฤศจิกายน: ยังคงเสี่ยงใน 37 จังหวัด 204 อำเภอ 962 ตำบล
สำหรับพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อเนื่องหลายเดือน ได้แก่ จังหวัดในลุ่มน้ำโขง ภาคเหนือตอนบน ภาคกลางตอนล่าง และพื้นที่ริมชายฝั่งทะเลตะวันออก
สทนช. ได้ดำเนินการตาม 9 มาตรการรับมือฤดูฝน ปี 2568 อย่างต่อเนื่อง อาทิ
คาดการณ์และแจ้งเตือนล่วงหน้า
ทบทวนแผนบริหารอ่างเก็บน้ำให้สอดคล้องกับสถานการณ์
ตรวจสอบความมั่นคงของเขื่อน คันกั้นน้ำ พนังกั้นน้ำ และทำนบ รวม 467 แห่ง
ขุดลอกคูคลอง 251.74 กิโลเมตร ลอกท่อ 3,664 กิโลเมตร กำจัดวัชพืชกว่า 4.56 ล้านตัน
จัดตั้งศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้าในพื้นที่เสี่ยง เช่น เชียงราย ระยอง และเตรียมเปิดที่หนองคาย
เตรียมศูนย์พักพิงชั่วคราวทั่วประเทศกว่า 10,000 แห่ง
ให้ประชาชนติดตามสถานการณ์และแจ้งเหตุผ่าน Line Official “ไทยคู่ฟ้า” และแอปพลิเคชัน ThaiWater
ในด้านการดำเนินการเชิงรุก สทนช. ได้ลงพื้นที่แล้วใน 32 จังหวัด เช่น ลุ่มน้ำโขงเหนือ ได้แก่ ลำปาง พะเยา เชียงราย และลุ่มน้ำโขงตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ สกลนคร นครพนม บึงกาฬ หนองคาย เพื่อทบทวนและปรับแผนการบริหารจัดการน้ำให้สอดคล้องกับสถานการณ์จริง พร้อมเร่งระบายน้ำล่วงหน้าให้ไม่เกิน 80% ของความจุอ่าง ลดความเสี่ยงพื้นที่ท้ายเขื่อนก่อนฝนตกชุกช่วง ส.ค.–ต.ค. 512 – สำนักข่าวไทย
ข่าวจาก เรื่องเล่าข่าวเกษตร เรื่อง กรมประมงโชว์ไอเดียแปรรูป “สาหร่ายผักกาดทะเล”พลิกโฉมสู่แพ็กเกจจิงรักษ์โลกและสารสกัดเพิ่มคุณค่าทางอาหารตอบโจทย์เทรนด์ผู้บริโภคยุคใหม่ ที่มีการนำเสนอไปเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2568 เวลา 13:57 น. นั้น รายละเอียดมีดังนี้คือ
กรมประมงพลิกโฉม “สาหร่ายผักกาดทะเล” สู่บรรจุภัณฑ์ชีวภาพและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ เดินหน้ายกระดับงานวิจัยพร้อมต่อยอดและขยายผลในวงกว้าง มุ่งเสริมศักยภาพการแข่งขันของเกษตรกรและผู้ประกอบการ โดยคำนึงถึงการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและยั่งยืน ภายใต้แนวทาง “ตลาดนํา นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้” ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
นายบัญชา สุขแก้ว อธิบดีกรมประมง เปิดเผยว่า กรมประมงได้มีการศึกษาวิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสาหร่ายผักกาดทะเลมาอย่างต่อเนื่อง ด้วยมีคุณค่าทางโภชนาการสูง อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระหลากหลายชนิด ทนต่อการเปลี่ยนแปลงของความเค็มได้ดี เจริญเติบโตเร็ว สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ในระยะเวลาอันสั้นและตลอดทั้งปี ประกอบกับมีกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและมีราคาจำหน่ายสูง จึงมีความเหมาะสมที่จะส่งเสริมให้เกษตรกรมีการเพาะเลี้ยงเชิงพาณิชย์และแปรรูปอย่างครบวงจร เพื่อเพิ่มความหลากหลายของสินค้าและตอบโจทย์ผู้บริโภคสายรักสุขภาพที่มีแนวโน้มความต้องการอย่างต่อเนื่อง โดยกรมประมงได้สนับสนุนองค์ความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ทั้งการเพาะเลี้ยง การเก็บรักษา การแปรรูปต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ รวมถึงการขยายช่องทางการตลาด สามารถขยายผลไปยังกลุ่มเกษตรกรจนประสบความสำเร็จในหลายพื้นที่ ซึ่งในปี 2567 ที่ผ่านมา มีปริมาณผลผลิตสาหร่ายทะเลสูงถึง 1,031.31 ตัน คิดเป็นมูลค่ากว่า 43,335,000 บาท
ด้าน นางสาวพิชญา ชัยนาค ผู้อำนวยการกองวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีอุตสาหกรรมสัตว์น้ำ กล่าวเสริมในรายละเอียดว่า “สาหร่ายผักกาดทะเล” จัดว่าเป็นวัตถุดิบที่มีศักยภาพสูงสำหรับแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ และนำมาสกัดสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพเพื่อใช้ประโยชน์ด้านอาหารฟังก์ชัน หรือ Functional Foods ที่ช่วยเพิ่มคุณค่าทางอาหารและส่งเสริมการทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกาย ซึ่งกำลังได้รับความนิยมในหมู่ผู้บริโภครักสุขภาพ กรมประมง โดยกองวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีอุตสาหกรรมสัตว์น้ำ จึงได้ทำการศึกษา ค้นคว้า วิจัย นำสาหร่ายผักกาดทะเลมาเป็นส่วนประกอบสำคัญในอาหารหลากหลายเมนู ได้แก่ บะหมี่สาหร่ายผักกาดทะเล ที่มีโปรตีนและใยอาหารสูงขึ้น กัมมี่เยลลี่สาหร่ายผักกาดทะเล เพิ่มคุณประโยชน์ให้กับขนมขบเคี้ยว โดยการเติมสาหร่ายผักกาดทะเลพร้อมเสริมคุณค่าทางอาหารด้วยอินนูลิน วิตามินซี และคอลลาเจน เยลลี่พร้อมดื่ม (Jelly Drink) ผสมสาหร่ายผักกาดทะเล รสมะนาว ผลิตภัณฑ์ที่เสริมใยอาหารและโปรตีนจากสาหร่ายผักกาดทะเล และวิตามินซีถึงร้อยละ 180 และ เจลลีสติป (Jelly Strip) ผสมสาหร่ายผักกาดทะเล รสองุ่น เพิ่มคุณค่าทางอาหารจากสาหร่ายผักกาดทะเล คอลลาเจนไตรเปปไทด์ และวิตามินซี
สำหรับสาหร่ายส่วนที่เหลือจากการคัดแยก เนื่องจากเกินอายุการเลี้ยงหรือมีความไม่สมบูรณ์จะถูกนำไปสกัดสารอาหารเพื่อเพิ่มคุณค่าและลดการเกิดขยะ (Zero waste) โดยใช้เอนไซม์โบรมิเลนสกัดโปรตีนไฮโดรไลเซทจากสาหร่ายผักกาดทะเล ทำให้โปรตีนมีขนาดเล็กลง ร่างกายสามารถดูดซึมและใช้ประโยชน์ได้ง่ายขึ้น เพื่อผสมลงในเมนูต่าง ๆ ได้แก่ เมอแรงค์สูตรลดน้ำตาลผสมโปรตีนไฮโดรไลเซทจากสาหร่ายผักกาดทะเล ซึ่งช่วยให้เนื้อสัมผัสแน่นคงตัวและมีกลิ่นรสเฉพาะของสาหร่ายผักกาดทะเล ซอสทสึยุผสมโปรตีนไฮโดรไลเซทจากสาหร่ายผักกาดทะเล โดยใช้แทนดาชิที่เป็นส่วนผสมหลัก ปราศจากสารปรุงแต่งอื่น ๆ และใยอาหารจากสาหร่ายผักกาดทะเล นำมาผลิตเป็น Jelly Strip เสริมสารสกัดใยอาหารจากสาหร่ายผักกาดทะเล ที่มีใยอาหารสูงถึง 8 กรัม ต่อหนึ่งหน่วยบริโภค คิดเป็นร้อยละ 32 ของปริมาณสารอาหารที่แนะนำให้บริโภคต่อวัน (Thai Recommended Daily Intakes หรือ Thai RDI) ซึ่งช่วยให้ระบบขับถ่ายมีการทำงานดีขึ้น นอกจากนี้ ยังสามารถนำไปผลิตเป็น บรรจุภัณฑ์รักษ์โลก ทดแทนการใช้พลาสติกสังเคราะห์และโฟมในอุตสาหกรรมอาหาร โดยสกัดและฟอกสีสาหร่ายผักกาดทะเลผสมกับเยื่อทางใบปาล์มแล้วนำไปขึ้นรูปด้วยเครื่องกดอัด (Compression Molding) จนได้บรรจุภัณฑ์สำหรับอาหารที่มีความแข็งแรง ทนต่อการดูดซึมน้ำ และสามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ เหมาะสำหรับใช้เป็นบรรจุภัณฑ์แบบใช้แล้วทิ้ง พร้อมผลักดันให้เป็นวัสดุทางเลือกใหม่สำหรับผลิตเป็นบรรจุภัณฑ์อาหาร ที่ใช้เวลาในการเพาะปลูกหมุนเวียนสั้น ย่อยสลายได้ง่าย และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอีกด้วย
โดยในอนาคตทางกองฯ มีแผนที่จะต่อยอดและขยายผลงานวิจัยดังกล่าวไปยังกลุ่มเกษตรกรและผู้ประกอบการในพื้นที่จังหวัดเพชรบุรีและจันทบุรี เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากสาหร่ายผักกาดทะเลและส่วนที่เหลือจากการคัดแยก สำหรับเป็นช่องทางในการสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรต่อไป ทั้งนี้ ผู้ประกอบการที่สนใจนำงานวิจัยไปต่อยอดสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ กองวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีอุตสาหกรรมสัตว์น้ำ กรมประมง เบอร์โทรศัพท์ 0 2940 6130 ต่อ 45
ข้อมูลอ้างอิง
- Thairath : (ดูต้นฉบับ)
- สำนักข่าวไทย : (ดูต้นฉบับ)
- เรื่องเล่าข่าวเกษตร : (ดูต้นฉบับ)