อยู่ไม่ไหวแล้ว หลังเศรษฐกิจทรุด ล่าสุด เนสท์เล่ เมียนมา ประกาศปิดโรงงาน และถอนการลงทุนออกแล้ว หลังทนรับกับสภาพเศรษฐกิจในประเทศพม่าไม่ไหว
โดยทางเนสท์เล่ (Nestle) สำนักงานใหญ่เมืองย่างกุ้ง เมียนมา โรงงานสาขาของ บริษัทผู้ผลิตอาหารรายใหญ่จากสวิตเซอร์แลนด์ ประกาศเตรียมปิดโรงงาน และสำนักงานใหญ่ในเมืองย่างกุ้ง พร้อมระงับการผลิตทั้งหมด ในประเทศเมียนมา
แผนการปิดโรงงานนี้ นับเป็นบริษัทต่างชาติรายล่าสุด ที่ระงับการดำเนินกิจการ และถอนการลงทุนออกจากเมียนมา หลังการก่อรัฐประหารโดยกองทัพครบรอบ 2 ปีเมื่อเดือน ก.พ.66 ที่ผ่านมา และยังไม่มีทีท่าว่าสันติภาพ และประชาธิปไตยจะกลับมาในเร็ววัน เนื่องจากรัฐบาลทหาร ได้ประกาศขยายสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งหมายถึงการเลื่อนการเลือกตั้งทั่วประเทศออกไปอีก
โฆษกเนสท์เล่ได้เปิดเผยว่า ด้วยเหตุผลด้านสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบันของพม่านั้น โรงงานเนสท์เล่ซึ่งตั้งอยู่ในศูนย์กลางการพาณิชย์ ในนครย่างกุ้ง รวมทั้งสำนักงานใหญ่ของเนสท์เล่ด้วย จะปิดทำการและยุติการดำเนินกิจการทั้งหมด โดยเนสท์เล่ ได้มอบหมายให้บริษัท เมียนมา ดิสทริบิวชัน กรุ๊ป หรือ เอ็มดีจี เป็นผู้จัดจำหน่าย ทำการตลาด และกระจายสินค้าของเนสท์เล่ ที่จะนำเข้ามา เป็นผู้จำหน่ายแทนทั้งหมด
ประวัติ เนสท์เล่ ในเมียนมา
เนสท์เล่ เมียนมา เริ่มเข้ามาเปิดตลาดจำหน่ายสินค้า และทำส่วนแบ่งการตลาดไปได้ดีอย่างต่อเนื่อง โดยสินค้าหลักจะเป็น กาแฟสำเร็จรูปเนสท์กาแฟ บะหมี่แม็กกี้ และเครื่องมอลต์รสช็อคโกแลตไมโล นมแลคโตเจน อาหารเด็กซีรีแลค ซึ่งเริ่มมาตั้งแต่ปี 1991 (พ.ศ.2534) และมีการจ้างงานในเมียนมาไปแล้ว 138 ตำแหน่ง ทั้งในโรงงานและสำนักงานใหญ่
ต่อมาหลังกองทัพก่อรัฐประหารยึดอำนาจ จากรัฐบาลพลเรือนเมียนมา เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2564 เมียนมาก็ต้องเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจครั้งสำคัญ รวมทั้งการประท้วง การกวาดล้างกลุ่มผู้ประท้วงทำให้ประชาชนเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก รวมทั้งสงครามกลางเมืองและการปะทะกับชนกลุ่มน้อยที่ต่อต้านรัฐบาลทหาร
สถานการณ์ดังกล่าวทำให้เมียนมาถูกคว่ำบาตร บริษัทต่างชาติจำนวนมากแห่ถอนการลงทุนและยุติการดำเนินกิจการในเมียนมา ซึ่งบริษัทต่างชาติที่ถอนการลงทุนออกไปแล้วก่อนหน้านี้ ได้แก่ บริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่โททาล เอเนอร์จีส์ จากฝรั่งเศส บริษัทเชฟรอนจากสหรัฐอเมริกา และบริษัทผู้ให้บริการโทรคมนาคมเทเลนอร์จากนอร์เวย์
ข้อมูลจากองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ชี้ว่า ผลพวงจากพิษเศรษฐกิจและการถอนทุนออกของต่างชาติ ทำให้ประชาชนกว่า 1 ล้านคนในประเทศเมียนมา ต้องอยู่ในสถานะคนตกงานในเวลานี้
เศรษฐกิจพม่า พังจากการคว่ำบาตรของอียู
ในเดือนก.พ.ที่ผ่านมา สหภาพยุโรป (EU) เพิ่งประกาศมาตรการลงโทษชุดใหม่ ต่อเมียนมา สืบเนื่องจากเหตุรัฐประหารที่ยืดเยื้อมาเป็นเวลาถึง 2 ปีแล้ว มาตรการลงโทษชุดใหม่ซึ่งเป็นชุดที่ 6 ครอบคลุมถึงบุคคล 9 คนและนิติบุคคล 7 แห่งในเมียนมา ซึ่งอียูระบุว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนและความรุนแรงที่เพิ่มขึ้นในเมียนมา รวมถึงรัฐมนตรีพลังงานและเจ้าหนา้ที่ระดับสูง ตลอดจนนักธุรกิจผู้สนับสนุนรัฐบาลทหาร
สำหรับนิติบุคคลที่ถูกลงโทษล่าสุด นั้นได้แก่หน่วยงานในกระทรวงกลาโหมเมียนมา รัฐวิสาหกิจ และบริษัทเอกชนที่สนับสนุนด้านอาวุธให้แก่กองทัพ นับจนถึงขณะนี้ สหภาพยุโรปสั่งลงโทษบุคคลในเมียนมาแล้ว 93 คน และนิติบุคคล 18 แห่ง ซึ่งถูกอายัดทรัพย์สินในยุโรปและห้ามเดินทางเข้าประเทศที่เป็นสมาชิกของอียู
นอกจากนี้ ยังมีการจำกัดการส่งออกอุปกรณ์สำหรับการสื่อสารโทรคมนาคมต่าง ๆ ที่อาจถูกนำไปใช้ในการกดขี่ประชาชนชาวเมียนมา รวมทั้งคำสั่งห้ามฝึกฝนหรือให้ความร่วมมือทางทหารแก่กองทัพเมียนมาด้วย
ทั้งนี้ คาดว่าตั้งแต่เกิดรัฐประหารเมื่อปี 2564 มีนักโทษการเมืองถูกจับกุมคุมขังในเมียนมาเกือบ 20,000 คน และมีผู้เสียชีวิตมากกว่า 3,000 คนจากการปราบปรามของรัฐบาลทหาร อ้างอิงจาก Assistance Association for Political Prisoners ซึ่งเป็นองค์กรตรวจสอบด้านสิทธิมนุษยชนในเมียนมา
ที่มา : Thansettakij
เรียบเรียง : swenth.com